Cybersecurity 101: Cryptography การเข้ารหัส — รากฐานสำคัญของความปลอดภัยไซเบอร์ในยุคดิจิทัล
ในยุคที่ข้อมูลถูกส่งผ่านโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว การเข้ารหัส (Cryptography) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการปกป้องข้อมูล ตั้งแต่การป้องกันอีเมลส่วนตัวไปจนถึงการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน การเข้ารหัสมีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของเรา บทความนี้จะพูดถึงพื้นฐานของการเข้ารหัสและถอดรหัส ความแตกต่างระหว่างการเข้ารหัสแบบสมมาตรและอสมมาตร ฟังก์ชันแฮชและลายเซ็นดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานกุญแจสาธารณะ (Public Key Infrastructure: PKI) และวิธีการป้องกันเว็บไซต์ผ่าน SSL/TLS
1. พื้นฐานของการเข้ารหัสและถอดรหัส
การเข้ารหัส คือกระบวนการเปลี่ยนข้อมูลที่อ่านได้ หรือที่เรียกว่า plaintext ให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถอ่านได้ หรือ ciphertext เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถอ่านข้อมูลนี้ได้
- การเข้ารหัส (Encryption): กระบวนการเปลี่ยนข้อมูลเป็น ciphertext เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูลนั้น
- การถอดรหัส (Decryption): กระบวนการแปลง ciphertext กลับไปเป็น plaintext โดยใช้กุญแจการถอดรหัส
การเข้ารหัสสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก คือ การเข้ารหัสแบบสมมาตร (Symmetric Encryption) และการเข้ารหัสแบบอสมมาตร (Asymmetric Encryption)
2. การเข้ารหัสแบบสมมาตรและอสมมาตร
- การเข้ารหัสแบบสมมาตร (Symmetric Encryption): ใช้กุญแจเดียวกันสำหรับทั้งการเข้ารหัสและถอดรหัส ข้อดีคือทำงานรวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงหากกุญแจถูกส่งผ่านเครือข่ายอย่างไม่ปลอดภัย ตัวอย่างอัลกอริธึมเช่น AES และ DES
- ตัวอย่าง: การเข้ารหัสไฟล์ในคอมพิวเตอร์ด้วยรหัสผ่าน รหัสผ่านนี้จะใช้ทั้งสำหรับการล็อคและปลดล็อคไฟล์
- การเข้ารหัสแบบอสมมาตร (Asymmetric Encryption): ใช้กุญแจสองตัว ได้แก่ กุญแจสาธารณะ (Public Key) สำหรับเข้ารหัส และ กุญแจส่วนตัว (Private Key) สำหรับถอดรหัส กุญแจสาธารณะสามารถแบ่งปันได้อย่างปลอดภัย แต่เฉพาะผู้ถือกุญแจส่วนตัวเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสข้อมูลได้ อัลกอริธึมที่ใช้บ่อย เช่น RSA และ ECC
- ตัวอย่าง: เมื่อส่งอีเมลที่เข้ารหัส ผู้รับจะใช้กุญแจสาธารณะในการเข้ารหัส และเฉพาะกุญแจส่วนตัวของผู้รับเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสได้
3. ฟังก์ชันแฮชและลายเซ็นดิจิทัล
ฟังก์ชันแฮช (Hash Function) เป็นเครื่องมือทางเข้ารหัสที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยฟังก์ชันแฮชจะเปลี่ยนข้อมูลเป็นค่าขนาดเล็กที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นข้อมูลเดิมได้ ฟังก์ชันแฮชนี้ใช้ในการตรวจสอบว่าข้อมูลถูกดัดแปลงหรือไม่
- ฟังก์ชันแฮชยอดนิยม ได้แก่ MD5, SHA-1, และ SHA-256 ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ คุณสามารถตรวจสอบฟังก์ชันแฮชที่เว็บไซต์ให้มา เพื่อยืนยันว่าซอฟต์แวร์ที่ดาวน์โหลดมาไม่ถูกดัดแปลง
ลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) เป็นกลไกเข้ารหัสที่ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลหรือเอกสาร ลายเซ็นดิจิทัลทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลนั้นไม่ได้ถูกดัดแปลงระหว่างการส่ง
- ลายเซ็นดิจิทัลสร้างโดยการเข้ารหัสแฮชของข้อความด้วยกุญแจส่วนตัว และผู้รับสามารถตรวจสอบลายเซ็นนี้โดยใช้กุญแจสาธารณะของผู้ส่ง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลนั้นมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้และไม่ถูกแก้ไข
4. โครงสร้างพื้นฐานกุญแจสาธารณะ (PKI)
โครงสร้างพื้นฐานกุญแจสาธารณะ (PKI) เป็นระบบที่จัดการและรักษาความปลอดภัยการใช้กุญแจสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต PKI ช่วยในการสร้าง แจกจ่าย และจัดการกับกุญแจสาธารณะและใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificates) ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถยืนยันตัวตนได้อย่างปลอดภัย
องค์ประกอบหลักของ PKI คือ Certificate Authorities (CA) หรือหน่วยงานที่ออกใบรับรองดิจิทัล เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้หรือเว็บไซต์
ตัวอย่างการใช้งาน PKI คือการรับรองความปลอดภัยของเว็บไซต์ที่มี HTTPS โดยเว็บไซต์จะมีใบรับรองจาก CA ซึ่งรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้น
5. SSL/TLS และ HTTPS
SSL (Secure Sockets Layer) และ TLS (Transport Layer Security) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่สามสามารถเข้าถึงข้อมูลระหว่างการส่งผ่านเครือข่ายได้
- HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) เป็นเวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP โดยใช้ SSL/TLS ในการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านเว็บเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำธุรกรรมออนไลน์บนเว็บไซต์ธนาคาร HTTPS จะทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณถูกเข้ารหัส และป้องกันไม่ให้ถูกดักฟังหรือขโมยข้อมูล
บทสรุป
การเข้ารหัสเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปกป้องข้อมูลในโลกดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารหัสแบบสมมาตรหรืออสมมาตร ฟังก์ชันแฮช ลายเซ็นดิจิทัล หรือการใช้ SSL/TLS การเข้ารหัสช่วยปกป้องความลับของข้อมูล รักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล และยืนยันตัวตนของผู้ส่งและผู้รับ
การทำความเข้าใจพื้นฐานของการเข้ารหัสและการใช้งานจริงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบัน